Skip to main contentdfsdf

Home/ blousebaboon5's Library/ Notes/ แจกเคล็ดลับลดน้ำหนัก 1 เดือน หุ่นดีขึ้นไม่มีโยโย่

แจกเคล็ดลับลดน้ำหนัก 1 เดือน หุ่นดีขึ้นไม่มีโยโย่

from web site

ลดน้ำหนัก

กลอรี่

ปัญหาหลักของคนลดน้ำหนักที่ไม่มีใครอยากเจอ คือ น้ำหนักขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ว่าจะตั้งใจลดแค่ไหนน้ำหนักก็ไม่ลง จนบางทีกลายเป็นน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งปัญหานี้เรียกว่า “โยโย่เอฟเฟกต์” เกิดจากการลดน้ำหนักที่ผิดวิธี ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานผิดปกติ และอาจทำให้เสียสุขภาพได้ ดังนั้น บทความในวันนี้ Glory จะมาแนะนำเคล็ดลับลดน้ำหนักภายใน 1 เดือน เห็นผลจริงไม่โยโย่ จะมีวิธีการอย่างไร ไปดูกัน
ทำความรู้จักโยโย่เอฟเฟกต์ เพื่อการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี
ก่อนเริ่มลดน้ำหนักเรามาทำความรู้จักกับโยโย่เอฟเฟกต์กันก่อนดีกว่า ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องทำอย่างไรไม่ให้เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ เพื่อที่คุณจะได้ลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี มาดูกัน
โยโย่เอฟเฟกต์ คืออะไร ?
โยโย่เอฟเฟกต์ (Yo-Yo Effect) คือ ภาวะที่น้ำหนักตัวเด้งขึ้น ๆ ลง ๆ และกลายเป็นน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่าตอนเริ่มลดน้ำหนัก หรือบางคนถึงแม้ว่าจะควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย แต่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้น เพราะร่างกายอยู่ในภาวะที่มีไขมันส่วนเกิน และมวลกล้ามเนื้อลดลง ทำให้ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญ
สาเหตุการเกิดโยโย่เอฟเฟกต์
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ มี 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
พฤติกรรมการลดน้ำหนักผิดวิธี
การลดน้ำหนักที่ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการใช้ยาลดความอ้วนทั้งหลาย สำหรับคนที่อายุน้อย และมีร่างกายแข็งแรงอาจไม่โยโย่ในการลดน้ำหนักครั้งแรก แต่ถ้าหากยังฝืนลดน้ำหนักด้วยทางลัดแบบผิด ๆ จะทำให้การลดน้ำหนักยากขึ้น และเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ในท้ายที่สุด
การอดอาหาร
การลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร อาจช่วยให้น้ำหนักลงได้ไวในช่วงแรก เพราะร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดผลเสียต่ออัตราการเผาผลาญ แต่เมื่อกลับมาทานอาหารปกติน้ำหนักกลับขึ้นมาเหมือนเดิม หรือเผลอ ๆ อาจหนักขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อที่เป็นตัวช่วยเผาผลาญพลังงานมีน้อยลง ส่งผลให้การลดน้ำหนักครั้งต่อไปยากขึ้น
อยากลดน้ำหนักให้สำเร็จ ไม่โยโย่ภายหลังควรทำอย่างไร ?
หลังจากได้รู้สาเหตุของการเกิดโยโย่เอฟเฟกต์กันแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเริ่มลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพที่ดี และป้องกันไม่ให้เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ สามารถทำได้ตามนี้
เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารเช้าเน้นโปรตีน
อาหารเช้า เป็นอาหารมื้อสำคัญที่มีผลต่อการลดน้ำหนักอย่างมาก โดยเน้นทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะอาหารที่โปรตีนสูงจะช่วยให้อิ่มท้องนาน ช่วยลดความหิว และหลีกเลี่ยงการกินจุกจิกตลอดทั้งวัน ที่สำคัญ อาหารที่มีโปรตีนสูง จะช่วยควบคุมฮอร์โมนที่ทำให้อยากอาหารได้ดี
ทานผักครึ่งหนึ่งของอาหารมื้อกลางวัน หรือมื้อเย็น
มื้อกลางวันเป็นมื้ออาหารที่ไม่ควรงด แต่จัดสรรการกินให้ร่างกายได้สารอาหารครบถ้วน โดยแบ่งอาหารมื้อกลางวันให้เน้นผักเป็นครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร และควรเลือกทานผักที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ

ที่สำคัญ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง พาสต้า เป็นต้น เนื่องจาก คาร์โบไฮเดรตเมื่อถูกย่อยแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในร่างกาย ซึ่งหากน้ำตาลไม่ถูกดึงมาใช้พลังงาน สุดท้ายจะถูกกักเก็บเป็นไขมันสะสมในร่างกายแทน
อาหารมื้อเย็นให้เลือกทานอาหารแคลอรีต่ำ
อาหารเย็น เป็นอาหารมื้อสำคัญที่ทำให้อ้วนง่าย ดังนั้นควรเลือกทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำ และมีปริมาณแคลอรีน้อยกว่าอาหารมื้อเช้า และมื้อกลางวัน ที่สำคัญ ควรทานอาหารมื้อเย็นก่อน 6 โมง หรือให้ทานก่อนเข้านอน 4-6 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายได้มีเวลาย่อยอาหารมากขึ้น
ทุกมื้ออาหารควรมีไขมันดี และลดปริมาณโซเดียมให้น้อยลง
ในช่วงลดน้ำหนักควรเตรียมอาหารทุกมื้อให้มีไขมันดี เนื่องจากไขมันดีมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น ซึ่งอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลา ถั่ว อะโวคาโด เป็นต้น นอกจากนี้ การทานอาหารที่มีโซเดียมมากเกินไป จะทำให้ตัวบวมง่าย เพราะฉะนั้น หากต้องการลดน้ำหนักควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ
ลดการทานอาหารประเภทที่มีน้ำตาล
น้ำตาล ตัวร้ายที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาลจากเครื่องดื่ม ของหวาน เป็นต้น เพราะหากน้ำตาลที่ทานเข้าไปไม่ถูกนำไปใช้เป็นพลังงาน สุดท้ายร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ รวมอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตก็เช่นกัน
เลือกทานอาหารที่มีเส้นใยมากขึ้น
ถึงแม้ว่าสารอาหารประเภทโปรตีนจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็ว และช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้นแล้ว การทานอาหารที่มีเส้นใยจากธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงาน สารอาหารที่จำเป็น และช่วยให้อิ่มท้องนานขึ้น นอกจากนี้ การเลือกทานผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำแทนการทานขนมหวาน หรือขนมขบเคี้ยว จะช่วยลดปริมาณแคลอรีไปได้มาก
ทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ
การทานอาหารในช่วงลดน้ำหนักควรทานให้ครบ 3 มื้อ และควรเลี่ยงการทานขนมในระหว่างวันไปด้วย จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น สำหรับการทานอาหารควรเว้นระยะห่างจากอาหารมื้อถัดไป 5 ชั่วโมง หรือแบ่งกิน 3 เวลา โดยไม่ควรทานมื้อเย็นหลัง 6 โมงไปต้นไป เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารได้เต็มประสิทธิภาพ
นอนหลับพักผ่อนให้ครบ 8 ชั่วโมง
หากใครที่ชอบนอนดึก หรือไม่สามารถเข้านอนเร็วได้ แนะนำให้ลองปรับพฤติกรรมการนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง เพราะการอดนอนทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน และทำให้อ้วนขึ้นได้ เนื่องจากการนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล และควบคุมการสะสมของไขมัน ทำให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทานอาหารที่มีไฟเบอร์
อาหารไฟเบอร์สูง เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบจากวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก มีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากทานแล้วจะช่วยให้อิ่มนานขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก สำหรับใครที่ไม่ชอบทานผัก สามารถเลือกทานอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของไฟเบอร์

อย่าง Glory Probiotic Veggy Plus โพรไอติกผสมไฟเบอร์ และคอลลาเจนไดเปปไทด์ หรือเรียกง่าย ๆ คือ ผักในรูปแบบแคปซูล มีส่วนช่วยดีท็อกซ์ขจัดสารพิษ และสิ่งตกค้างในร่างกายด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 100% ช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่าย ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ที่สำคัญ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงได้มาตรฐาน GMP และ FDA ซึ่งหากออกกำลังกายร่วมด้วยจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักให้เห็นผลมากขึ้น

สุดท้ายนี้ การลดน้ำหนักให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องใช้ทั้งเวลา วินัย ความอดทน และความสม่ำเสมอ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ไม่ต้องเสี่ยงกับโยโย่เอฟเฟกต์ หากทำได้พฤติกรรมการทานอาหาร และการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนตามไปด้วย เนื่องจากความเคยชินในการทำสิ่งต่าง ๆ ส่งผลให้สุขภาพดี และมีหุ่นสวย ๆ ในระยะยาว

หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม หรือเช็กโปรโมชันพิเศษคลิก และสั่งซื้อสินค้า สามารถติดต่อเราได้ที่
Line: @GloryofficialTH
Shopee: Glory Official TH
Lazada: Glory
blousebaboon5

Saved by blousebaboon5

on Mar 28, 24